วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เขียนภาษาอังกฤษอย่างไรไม่ให้ผิด




เขียนภาษาอังกฤษอย่างไรไม่ให้ผิด



        เมื่อพูดถึงคาว่า “Grammar” หรื อ ไวยากรณ์หลายๆคนถึงกับต้องกุมขมับพร้อมกับส่ายหน้า เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่การจะใช้ ภาษาให้ ได้ ดีและถูกต้องราวกับเจ้าของภาษานั้น ไวยากรณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ใครที่สามารถใช้ ไวยากรณ์ได้ อย่างถูกต้อง คนนั้นมีชยไปกว่าครึ่งค่ะ ดังนั้นวันนี้เราจะมาเริ่มกันที่ทักษะการเรียน มาดูกนว่าเราจะเขียนภาษาอังกฤษแบบไม่ให้ ผิดไวยากรณ์ได้ อย่างไรกัน
การใช้ คำว่ า  “finish”
           
คำนี้แปลว่า ทา....เสร็จสิ้นเช่น ถ้าเราต้องการบอกว่า โรนัลโดทาการบ้านเสร็จก็ต้องเขียนว่า “Ronaldo finished
doing homework.” ไม่ใช่ “Ronaldo was finished homework.” หรื อ “Ronaldo did homework
finished.” สรุปก็คอ ใช้ คาว่า “finish” + การทากิจกรรมนั้นๆ ได้ เลย 
การใช้ “Simple Past Tense”
           
เมื่อเราต้องการจะบอกว่า เราทากิจกรรมอะไรเสร็จสิ้นแล้ ว หรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในช่วงเวลาอะไรก็ตามใน อดีต ก็ให้ นกถึง tense นี้เลยค่ะ ถ้าลองกลับไปดูประโยคข้างบน “Ronaldo finished doing homework.” จะเห็นว่าโรนัลโดทาการบ้านเสร็จแล้ ว แม้ จะไม่ระบุวาทาเสร็จเมื่อเวลาใด ดังนั้นคาว่า “finished” ก็ต้องอยูในรูปอดีต



การใช้ คำว่า “interested” และ “interesting”
           
ถ้าเราต้องการบอกว่า โรนัลโดสนใจฟุตบอลเราก็ต้องเขียนว่า “Ronaldo is interested in football.” ไม่ ใช่“Ronald is interesting in football.” เพราะคาว่า “interesting” แปลว่า น่าสนใจและคาว่า“interested” ก็ต้องใช้ คู่กับ “in” สรุปก็คือใช้ คาว่า “interested” + in + สิ่งที่สนใจ 
การใช้ ตัวอักษรพิมพ์ ใหญ่ (Capital letters)
           
เมื่อเขียนประโยคภาษาอังกฤษ เราทราบกันดีวาตัวอักษรตัวแรกต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ แต่ถ้าเป็นชื่อเฉพาะเช่นRonaldo, London, Bangkok, Yingluck เราจะต้องเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอไม่วาจะอยู่ตำแหน่งไหนในประโยค ดังนั้นประโยคนี้จึงถือว่าผิดไวยากรณ์ “For example, He went to the gym.” ดังนั้นจึงต้องเขียนใหม่วา “For example, he went to the gym.”

  Written by Ajarn  Nantana

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี



เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี

                          20 เคล็ดลับในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี

1.ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
2.เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่
3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต
4.แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น
5.สร้าง: ออกแบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย
6.ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป
7.ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่พยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น
8.เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !
9.ข้อจำกัด: คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้คุณสมองตื้อแทน
10.สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ
11.ยอมรับความจริง ไม่มีใครพูดภาษาที่สองได้ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น
12.เรียนรู้ทีละนิด จากการศึกษาพบว่า การทบทวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น ในระหว่างทานอาหารเช้า ในขณะอาบน้ำ หรือในขณะเดินทาง จะส่งผลให้คุณจดจำได้ดีกว่า
13.ท่องศัพท์ ยิ่งคุณรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถพูดและเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น เทคนิคในการจดจำคำศัพท์ คือ พกการ์ดใบเล็กๆที่เขียนคำศัพท์ (ที่มีคำแปลอยู่ด้านหลัง) ไปกับคุณทุกที่
14.ฝึกหัดอย่างจริงจัง อย่าแค่ทำปากขมุบขมิบหรือท่องเอาไว้ใสใจ พูดหรืออ่านออกมาดังๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อจะได้ฝึกปากของคุณให้เคยชินกับการออกเสียง
15.ทำการบ้าน การทำการบ้านคือการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้เป็นไปอย่างแม่นยำ จนกลายเป็ความชำนาญ และสามารถทำออกมาได้อย่างอัตโนมัติในที่สุด
16. จับกลุ่มเรียน หาเวลาทบทวน ทำการบ้าน หรือแค่ฝึกพูดภาษานั้นๆ กับเพื่อนๆ เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องให้กันและกันได้ แถมยังทำคุณจดจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย
17.หาจุดอ่อน คุณควรหาจุดอ่อนในการเรียนของตัวเองให้เจอ เพื่อที่จะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ก็บังคับตัวเองให้เลือกที่นั่งแถวหน้าในห้องเรียนซะ
18.หาโอกาสในการใช้ภาษา เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเจ้าของภาษาเช่าหนังที่พูดภาษานั้นๆ มาดูหรือแม้กระทั่งหาแฟนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นซะเลย
19. ทุ่มความสนใจ พูดง่ายๆ ก็คือ หายใจเข้าออกก็ให้เป็นภาษานั้น เรียนรู้ภาษานั้นๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างจริงจังและเต็มที่ถึงขนาดถึงขนาดถ้าฝันได้ก็อาจฝันเป็นภาษานั้นๆ ด้วย
20. ปรึกษาผู้รู้ ถ้ามีปัญหาหรือติดขัดอะไร ก็ต้องสอบถามครูผู้สอนหรือเจ้าของภาษานั้นทันที เพื่อทำลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการเรียนออกไปให้เร็วที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องสะดุดอยู่นานเกินไปซึ่งนั้นอาจทำให้คุณเกิดความเบื่อหน่ายได้
 ที่มา:http://trickenglish.blogspot.com/